การทำงานของ “ตับ”
เป็นอวัยวะที่อยู่ในช่องท้องส่วนบนด้านขวา ทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง
กำจัดสารพิษ
– มีส่วนสำคัญใน metabolism ของโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน
– สร้างน้ำดี ซึ่งมีความจำเป็นในกระบวนการย่อยอาหารของร่างกาย
– เป็นที่เก็บสะสมของไกลโคเจน เกลือแร่ และวิตามิน (A, D, E, K)
– สังเคราะห์โปรตีน เช่น albumin และปัจจัยในการแข็งตัวของเลือด (Clotting factors)
ทำไมตับถึงอักเสบ เกิดได้จากหลายสาเหตุ
1.การติดเชื้อไวรัส
2.ดื่มแอลกอฮอล์ ในระยะเวลานาน
3.สารเคมีในยาบางชนิด เช่น พาราเซตามอลในขนาดสูงเกิน 10 g หรือมากกว่า 200 mg/kg ครั้งเดียว ยาลดไขมันกลุ่ม statins, ยากันชักบางชนิด, หรือแม้แต่อาหารเสริม ยาสมุนไพรบางตัว
4.การอักเสบที่เกิดจากภูมิคุ้มกันตัวเองไปทำลายตับ
5.ภาวะไขมันแทรกตับ
6. ตับขาดเลือดไปเลี้ยง (Ischemic hepatitis)
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
ไวรัสตับอักเสบ A
มักมีอาการเฉียบพลัน อ่อนเพลีย มีไข้ ตัวเหลือง ตาเหลือง มักติดทางการกินอาหารที่ปนเปื้อน (Fecal oral route)
ไวรัสตับอักเสบ B
มักมีอาการเรื้อรัง ค่อยเป็นค่อยไป บางครั้งไม่แสดงอาการ ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รอยสัก เข็มฉีดยา การให้เลือด หรือแม่สู่ลูก คล้ายไวรัสตับอักเสบ C ซึ่งถ้าเรามีการคัดกรองแล้วทราบว่าผู้ป่วยรายใดเป็นพาหะ มีข้อบ่งชี้ในการกินยาต้านไวรัสตับอักเสบบี จะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้เกิดตับแข็ง และมะเร็งตับในอนาคตได้
ไวรัสตับอักเสบ C
มักมีอาการเรื้อรัง หรือ แม้แต่ไม่แสดงอาการ รวมถึงการติดต่อก็เป็นช่องทางคล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี ดังที่ได้กล่าวข้างต้น ความสำคัญ คือ ในปัจจุบันนี้ มียารักษาไวรัสตัวใหม่ๆ ที่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ ซึ่งจะช่วยลดการเกิดผลแทรกซ้อน เช่น ตับแข็ง มะเร็งตับ เป็นอย่างมาก
ไวรัสตับอักเสบ E
มักมีอาการเฉียบพลัน อ่อนเพลีย มีไข้ ตัวเหลือง ตาเหลือง มักติดทางการกินอาหารที่ปนเปื้อน (Fecal oral route) คล้ายไวรัสตับอักเสบ A มักพบในประเทศที่สุขอนามัยไม่ดี
การใช้ Acetylcysteine ช่วยในการ ดีท็อกซ์ตับ โดยมีประสิทธิภาพการดีท็อกซ์ตับได้ถึง 2 กลไกด้วยกัน
– ต้านอนุมูลอิสระ
– กำจัดสารพิษในตับ
Acetylcysteine หรือสารตั้งต้นของกูลต้าไธโอน VS ตับ
Acetylcysteine เป็นกลไกหลักในการเสริมภูมิคุ้มกัน มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และเป็นสารตั้งต้นของกูลต้าไธโอน ให้กับร่างกาย มีประสิทธิภาพสูงในการขจัดสารพิษใน
– ไขมันพอกตับ
– ตับอักเสบ
– ตับแข็ง
– มะเร็งตับ
ปริมาณการทานยาในกลุ่ม Acetylcysteine ( Dose Recommendation )
ในการดีท๊อกซ์ตับ หรือ เสริมประสิทธิภาพการต้านอนุมูลอิสระ แนะนำทานวันละ 1,200 มิลลิกรัม ( เม็ดละ 600 มิลลิกรัม x 2 เม็ด )
– Acetylcysteine : ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “ยาต้านพิษต่อตับ” จาก พาราเซตามอล
– ป้องกันพิษต่อตับ : จากยาบางชนิด เช่น ยาวัณโรค1
– ทำให้ การทำงานของตับดีขึ้น ในผู้ป่วย โรคไขมันพอกตับ2
– บรรเทาความรุนแรงของ พิษต่อตับจากการดื่มแอลกอฮอล์ 3
อ้างอิง : นพ. ธนชัย ปัญจชัยพรพล อายุรแพทย์ทางเดินอาหารและตับ รพ.จุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต 1 Baniasadi, S., 2011. Protective effect of N-acetyl cysteine on antituberculosis drug-induced hepatotoxicity. European Journal of Gastroenterology & Hepatology, 23(2), p.193. 2 Khoshbaten M, Aliasgarzadeh A, Masnadi K, et al. N-Acetylcysteine Improves Liver Function in Patients with Non-Alcoholic Fatty Liver Disease. Hepatitis Monthly 2010; 10(1): 12-16. 3 Nguyen-Khac E, Thevenot T, Piquet MA, et al. Glucocorticoids plus N-Acetylcysteine in Severe Alcoholic Hepatitis. N Engl J Med 2011;365:1781-9.
- ข้อสงสัยและข้อควรระวังในการใช้ยา N-Acetylcysteine หรือ NAC
- ทำความรู้จักกับยา Original และยา Generic
- การบรรยาย เรื่อง “การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะในหญิงตั้งครรภ์ ที่หลายคนมองข้าม”
- ทำความรู้จักกับโรคผิวหนังอักเสบในผู้สูงอายุ และวิธีรักษาผิวหนังอักเสบด้วยตัวเอง
- โรคผื่นผิวแห้ง ดูแลอย่างไร ??
- ปัญหาของผิวหนังที่ควรรู้ ??
- รู้จักกับอาการผิวแห้งตามข้อพับ และวิธีรักษา
- โรคผื่นผิวแห้ง ในผู้สูงวัยและผู้หญิงตั้งครรภ์